ประเพณีไหว้พระแข วัดสามทอง ตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จัดขึ้นเพื่อเป็นการบูชาพระจันทร์ เป็นประเพณีที่สำคัญในท้องถิ่นที่นับถือธรรมชาติ จากคำบอกเล่าที่สืบต่อกันมา งานประเพณีไหว้พระจันทร์ หรือประเพณีไหว้พระแขที่วัดสามทองนั้น เกิดขึ้นก่อนที่ อาจารย์เจีย (ชา) จะได้มาเป็น เจ้าอาวาสวัดสามทอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ซึ่งพระอาจารย์เจีย (ชา) เจ้าอาวาสวัดสามทอง ได้มีการปฏิบัติสืบทอด ติดต่อมาถึงปัจจุบัน คำว่า "พระแข" ภาษาเขมรเดิมเรียกว่า "เปรี๊ยะแค" แปลว่า "พระจันทร์" ประเพณีไหว้พระแข หมายความว่า "ประเพณีไหว้พระจันทร์" โดยทั่วไปเรามักคุ้นเคยกับประเพณีไหว้พระจันทร์แบบจีน เพราะ มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากมาย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าประเทศกัมพูชาก็มีประเพณี ไหว้พระจันทร์เช่นกัน ประเพณีไหว้พระจันทร์ เดิมที่เป็นประเพณีของชาวเขมร ในประเทศกัมพูชา ได้กำหนด จัดในวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นประจำทุกปี ตรงช่วงเวลาที่พระจันทร์โคจรอยู่เหนือศีรษะ เพื่อเป็นการทำนายปริมาณฟ้าฝนของปีถัดไป ผลจากการทำนายจะช่วยให้ชาวบ้านเตรียมตัวทำการเกษตร ประเพณีไหว้พระแข มีอยู่ด้วยกัน ๒ แบบ คือ ๑. แบบหลวง หมายถึง การจัดเป็นพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง จัดเตรียมกล้วย ข้าวเม่า ข้าวหลาม อาหาร และผลไม้อื่นๆ เป็นเครื่องไหว้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ โครงเทียน ซึ่งโครงเทียนแบบหลวง จะถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีต้นเทียนที่ยึดติดกับโครงเทียน จำวน ๑๔ เล่ม เป็นสัญลักษณ์แทน ๑๔ จังหวัด ในประเทศกัมพูชา เมื่อถึงเวลาพราหมณ์หลวงประกาศคำบูชาเทวดา พระมหากษัตริย์ทรงจุดเทียน จากนั้นพราหมณ์หลวงจะหมุนโครงเทียน ๓ รอบ ให้หยดน้ำตาเทียนตกลงบนใบตองที่ปูรองไว้ด้านล่าง เมื่อเทียนละลายหมด พราหมณ์หลวงประกาศคำทำนาย เป็นอันเสร็จพระราชพิธี ๒. แบบราษฎร์ หรือแบบชาวบ้าน มีการจัดเตรียมกล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลาม เช่นเดียวกัน แต่อาหาร และผลไม้เครื่องไหว้อื่นๆ อาจจะแตกต่างกันไปบางตามแต่ละท้องถิ่น ผู้ประกอบพิธีเป็นพระสงฆ์ ทำหน้าที่สวดมนต์บูชาเทวดา พราหมณ์ทำหน้าที่จุดเทียน และหมุนโครงเทียน จำนวน ๓ รอบ เพื่อพยากรณ์ฟ้าฝนของปีถัดไป จากหยดน้ำตาเทียน พระสงฆ์หว่านข้าเม่า กล้วย และส้ม หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีจะแบ่งปันข้าวหลาม ที่ชาวบ้านนำมาใช้เป็นเครื่องบูชาเทวดา เป็นอันเสร็จพิธี วัตถุประสงค์ของประเพณีไหว้พระแข ๑ เพื่อเป็นการบูชาเทวดา และไหว้พระจันทร์ ๒ เพื่อเป็นการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนว่าจะตกมากน้อยเพียงใด ของปีถัดไป ๓ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว การประกอบพิธีไหว้พระแข ของวัดสามทอง ปัจจุบันวัดสามทอง ได้สืบทอดประเพณีไหว้พระแข แบบราษฎร์ หรือแบบชาวบ้าน เมื่อถึงวัน ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ชาวบ้านจะเตรียมเผาข้าวหลามไว้สำหรับใส่บาตร ในงานประเพณีไหว้พระแข ของเช้าวันรุ่งขึ้น ตรงกับวันขึ้น ๑๕ เดือน ๑๒ ชาวบ้านจะพากันไปที่วัด เพื่อช่วยกันหล่อเทียน ปลูกโรงพิธี และจัดตั้งเครื่องสักการะบูชา ภายในโรงพิธี จัดตั้งโต๊ะหมู่บูชา จัดวางอาสนะสำหรับให้พระสงฆ์นั่งสวดมนต์ พร้อมทั้ง มีกระบุงใบใหญ่ตั้งวางไว้ข้างๆ ไว้สำหรับใส่ข้าวหลามในระหว่างการประกอบพิธี พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ในเวลาที่พระจันทร์ตรงกับศีรษะ ทางด้านทิศตะวันออกของโรงพิธีจะสร้างโครงเทียน โดยใช้เสาไม้ไผ่ จำนวน ๒ ต้น ปักไว้คู่กัน เว้นระยะห่างประมาณ ๑.๕๐ เมตร ไม้ไผ่ที่ใช้ปักคู่กันนี้จะเจาะปลายให้ทะลุเพื่อสอดไม้ไผ่อีกอันหนึ่งเข้าไปในรู ที่เจาะไว้แล้ว มองดูคล้ายกับบาร์เดี่ยว และถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำพิธี เพราะไม้ไผ่อันกลางใช้ทำเป็นคานไว้สำหรับปักต้นเทียนในการเสี่ยงทาย ประเพณีไหว้พระแข เป็นพิธีกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ ถือเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมพิธี และเสริมสร้างความสามัคคีของคนในท้องถิ่น การทำพิธีในพื้นที่มีเค้าโครงความเชื่อ และรูปแบบการทำพิธีคล้ายคลึงกับในประเทศกัมพูชา อาจจะแตกต่างไปบ้างก็เพื่อปรับให้เหมาะสมกับท้องถิ่น การประกอบพิธีไหว้พระแข ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. พิธีหล่อเทียนไหว้พระแข กำหนดให้ตรงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากมีการทำบุญ ในตอนเช้าเสร็จสิ้น เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. คณะกรรมการประกอบพิธีหล่อต้นเทียนไหว้พระแข จัดเตรียมอุปกรณ์ในการหล่อเทียน ได้แก่ ไม้ไผ่ น้ำตาเทียน ด้ายสายสิญจน์ เตาถ่าน และกาน้ำ คณะกรรมการดำเนินการหล่อต้นเทียน จำนวน ๓ เล่ม แต่ละเล่มต้องมีน้ำหนัก ๑๒ บาท (๑๘๐ กรัม) หรือประมาณ ๒ ขีด โดยเทียน ที่นำมาหล่อนั้น ให้ใช้น้ำตาเทียนของปีที่ผ่านมา ผสมรวมกับน้ำตาเทียนที่ได้จากเทียนพรรษาที่พระสงฆ์ ในวัดสามทอง ใช้ทำวัตรเช้า – เย็น เป็นหลัก นำมาเคี่ยวในกาน้ำที่เตรียมไว้ แล้วเทใส่กระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ โดยใช้ด้ายที่ทำจากสำลี จำนวน ๔๘ เส้น เป็นไส้เทียนในแต่ละเล่ม และตรึงไส้เทียนในกระไม้ไผ่ นำกระบอกไม้ไผ่ ที่เตรียมไว้กรอกน้ำตาเทียนใส่ในกระบอกไม้ไผ่ ให้กรอกทีละน้อยๆ กรอกไปเรื่อยๆ จนเต็มกระบอกไม้ไผ่ เพื่อไม่ให้ต้นเทียนเป็นโพรง เมื่อเทียนเริ่มจับตัวเป็นแท่งแห้ง และแข็งตัวดีแล้ว ให้ค่อยๆ ผ่ากระบอกไม้ไผ่ออก ใช้มีดตกแต่ต้นเทียนให้สวยงาม และชั่งน้ำหนักเทียนให้ได้น้ำหนักตามที่กำหนด (การหล่อเทียนที่ได้น้ำหนักไม่ครบตามความต้องการ อาจจะต้องหล่อขึ้นมาใหม่ หรืออาจได้น้ำหนักที่มากเกินไป จะต้องเหลาเนื้อเทียนออกบ้างเป็นบางส่วน เพื่อให้เทียนทุกแท่งมีน้ำหนักที่เท่ากันตามที่กำหนด) เป็นอันเสร็จพิธีการหล่อต้นเทียน จำนวน ๓ ต้น ๒. การสร้างโรงพิธีหรือปะรำพิธี คณะกรรมการจัดหาลานโล่งพื้นที่ภายในวัดที่สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน เพื่อใช้กั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จัดทำโรงพิธีเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีแผงกั้นทั้ง ๔ ทิศ ปักฉัตร ติดธง วางสายสิญจน์ล้อมรอบ ประดับไฟให้สวยงาม ตรงกลางจัดทำเป็นซุ้มเรือนแก้ว ชั้นยกสูงสำหรับตั้งพระพุทธรูป ๑ องค์ ด้านหน้ายกพื้นสูงประมาณ ๑ ศอก เป็นที่วางอาสนสงฆ์ไว้สำหรับพระสงฆ์นั่งสวดมนต์ตอนทำพิธี (การวงสายสิญจน์ ให้เริ่มวงจากพระพุทธรูปที่ประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้วกลางปะรำพิธี จากนั้นโยงสายสิญจน์ไปที่พุทธรูปที่ประทับบนโต๊ะหมู่บูชาแล้วเวียนขวารอบปะรำพิธี โยงไปที่โครงเทียน และเวียนไปจบที่พระพุทธรูป บนโต๊ะหมู่บูชาในปะรำพิธีอีกครั้ง) ด้านหน้าอาสนสงฆ์ปูเสื่อไว้สำหรับเป็นที่นั่งของประชาชนที่มาร่วมพิธี นั่งฟังพระสงฆ์สวดมนต์ และส่วนหนึ่งใช้เป็นสถานที่รองรับข้าวหลามจากชาวบ้าน ที่นำมาร่วมพิธี โดยใสในกระบุงหรือเข่งภายในโรงพิธีที่จัดเตรียมไว้ ทั้งนี้ โรงพิธีจะต้องมีประตูเข้าออก ทั้ง ๔ ทิศ
๓. การสร้างโครงเทียน ด้านทิศตะวันออกของโรงพิธี (ด้านนอก) ห่างจากโรงพิธีประมาณ ๓ เมตร การสร้างโครงเทียน ประกอบด้วย ไม้ไผ่ ยาวประมาณ ๕ ศอก จำนวน ๒ ลำ และไม้ไผ่สำหรับทำเป็นคาน จำนวน ๑ ลำ นำไม้ไผ่ทั้ง ๒ ลำ มาเจาะให้เป็นรู (ขนาดรู ให้ไม้ไผ่ที่เป็นคานสอดได้) ไม้ไผ่ทั้ง ๒ ลำ ปักทำเป็นหลักห่างกันประมาณ ๕ ศอก สอดไม้ไผ่ที่เป็นคานใส่ไปในรูไม้ไผ่ให้ปลายไม้ไผ่ที่เป็นคาน รูออกไปทั้ง ๒ ด้าน ๆ ด้านละประมาณ ๑ คืบ นำสายสิญจน์ที่โคนต้นเทียนที่ได้จากการหล่อซึ่งจะมีสายสิญจน์ที่เหลือปลายนำมาผูกติดกับไม้ ที่ใช้ทำเป็นคาน ทำแบบนี้ ทั้ง ๓ เล่ม จากนั้น นำกาบกล้วยที่เจาะรู ใส่แท่งเทียน และมัดกาบกล้วยติดกับไม้คาน ทั้ง ๓ เล่ม ขณะที่พราหมณ์หมุนต้นเทียน ด้านบนโครงเทียนตกแต่งให้สวยงามอาจติดรูปพญานาคซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการให้น้ำก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควร การประกอบพิธีสงฆ์ ในเวลาตอนกลางคืนชาวบ้านทุกหลังคาเรือนจะเตรียมตัวไปวัด เพื่อร่วมงานประเพณีไหว้พระแข จัดเตรียมเครื่องบูชา ประกอบด้วย ข้าวเม่า กล้วย และส้ม นำไปถวายพระสงฆ์ สำหรับข้าวหลามให้นำไปใส่กระบุงที่เตรียมไว้ในโรงพิธี การนำข้าวหลามมาร่วมพิธีเป็นการบูชาเทวดา เป็นการหวังผลให้เทวดาเมตตาประทานพร บันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล และอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. เริ่มทำการแสดงมหรสพ (ถ้ามี) จนถึงเวลา ๒๓.๓๐ น. จะหยุดทำการแสดงมหรสพ นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นสู่อาสนะสงฆ์ พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ (บทสวดแบ่งเป็น ๕ ตอน คือ ๑) เจริญพระพุทธมนต์ ๒) เจ็ดตำนาน (เลือกเฉพาะบทที่เกี่ยวข้อง) ๓) ลำดับชั้น ๔) มงคลจักวาฬใหญ่ และ๕) ภาณสูรย์ ภาณจันทร์) ประชาชนเข้าร่วมพิธี มัคนายกนำกราบพระบูชาพระ รับศีล พระสงฆ์เริ่มสวดบทเจริญพระพุทธมนต์ บทเจ็ดตำนาน (เลือกเฉพาะบทที่เกี่ยวข้องกับพิธีไหว้พระแข) บทลำดับชั้น (เป็นการบูชาเทวดา ๑๖ ชั้น) พอสวดบทมงคลจักวาฬใหญ่จบ ให้ยุติการสวด เพื่อเชิญพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี (พราหมณ์ผู้ประกอบพิธี ต้องสวมใส่ชุดสีขาว ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน เป็นผู้อาวุโส ประพฤติดี ตั้งอยู่ในศีลธรรม หรือเป็นผู้ที่อยู่วัด ถือศีลปฏิบัติธรรมในช่วงเข้าพรรษา) จำนวน ๓ ท่าน ประกอบพิธีจุดเทียน จำนวน ๓ ต้น ๆ ละ ๑ ท่าน เป็นสัญลักษณ์แทนช่วงเวลาในฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือน ๖ ถึง กลางเดือน ๑๒ เป็นเวลา ๖ เดือน หรือเริ่มตั้งแต่วันวิสาขบูชา ถึงวันลอยกระทง โดยแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงเวลา ดังนี้ เทียนต้นที่ ๑ ปักด้านทิศใต้ของโครงเทียน หมายถึง ต้นฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม – กลางเดือนกรกฎาคม ของทุกปี) เทียนต้นที่ ๒ ปักตรงกลางโครงเทียน หมายถึง กลางฤดูฝน เริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ (ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายน ของทุกปี) เทียนต้นที่ ๓ ปักด้านทิศเหนือของโครงเทียน หมายถึง ปลายฤดูฝน เริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (ประมาณกลางเดือนกันยายน – กลางเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี) พราหมณ์ผู้ประกอบพิธี จำนวน ๓ ท่าน จุดเทียน พระสงฆ์เริ่มสวดบทภาณสูรย์ ภาณจันทร์ พราหมณ์เริ่มหมุนคานเทียนไปข้างหน้าตามเข็มนาฬิกา เมื่อครบ ๑ รอบ ให้สาธุชนกราบ ๑ ครั้ง (กล่าวคำว่า "สาธุ") ทำแบบนี้ หมุนต่อไปให้ครบ ๓ รอบ ระหว่างที่หมุนไปนั้น ให้สังเกตน้ำตาเทียนทั้ง ๓ ต้น ที่หยดลง ในภาชนะที่รองรับ (ใส่น้ำในภาชนะให้เกือบเต็มถังเพื่อรองรับน้ำตาเทียน) เมื่อหมุนครบ ๓ รอบแล้ว ให้หมุนคานเทียน โดยปักหัวเทียนลงทางพื้นดิน เทียนจะลุกเป็นประกาย น้ำตาเทียนไหลหยดลงสู่ภาชนะ ให้สังเกตการลุกไหม้ ของต้นเทียนแต่ละต้น ให้ดูลักษณะของน้ำตาเทียนว่าไหลหยดลงมามีลักษณะอย่างไร หยดลงมาต่อเนื่องหรือไม่ หรือนานๆ หยดสักครั้งหนึ่ง และการลุกไหม้ของไส้เทียนเป็นอย่างไร ลักษณะการหยดของน้ำตาเทียน และการลุกไหม้ของต้นเทียน คือ การนำไปสู่การพยากรณ์ ดังคำทำนายดังต่อไปนี้ ต้นเทียนประจำช่วงเวลาใด ที่มีน้ำตาเทียนไหลหยดอย่างต่อเนื่อง ทำนายว่าฝนจะตกดี มีน้ำดี
ต้นเทียนประจำช่วงเวลาใด ที่มีน้ำตาเทียนไหลหยดน้อยไม่ต่อเนื่อง ทำนายว่าฝนจะตกน้อย มีน้ำน้อย ต้นเทียนประจำช่วงเวลาใด มีการลุกไหม้อย่างโชติช่วงชัชวาล ประกายไฟวูบวาบ ทำนายว่า มีฟ้าแลบ ฟ้าคะนองหรือฟ้าผ่า มีลมแรง อาจมีน้ำมาก น้ำท่วมหรือน้ำน้อยก็เป็นไปได้ ให้สังเกตจากน้ำตาเทียนด้วย การสรุปผลการพยากรณ์ ว่าปีหน้าช่วงเวลาใดจะมีน้ำมาก น้ำน้อยดูได้จากน้ำตาเทียนในภาชนะ ที่รองรับอีกครั้งหนึ่ง โดยการชั่งน้ำหนักว่าช่วงเวลาใดมีน้ำหนักมาก แสดงว่ามีปริมาณน้ำมากตามลำดับไป เมื่อพระสวดบทภาณสูรย์ ภาณจันทร์ จบแล้วต่อด้วยบทเจริญมงคลคาถา (ชะยันโต) พระสงฆ์จะหว่านข้าวเม่า กล้วย และส้ม ที่ใส่ในภาชนะรวมกัน ซึ่งมีความหมายดังนี้ ข้าวเม่าหมายถึงฝน กล้วย และส้ม หมายถึงลูกเห็บ ชาวบ้านจะเก็บของข้าวเม่า กล้วย และส้ม ไปรับประทาน ถือว่าเป็นสิ่งมงคล ข้าวหลามที่นำมาทำพิธีบูชาเทวดา และสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย เพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ไปแล้ว จากนั้นกรวดน้ำ รับพรพระ และกราบพระสงฆ์พร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีไหว้พระแข (ข้าวหลามที่นำมาทำพิธีบูชาเทวดา จะแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่มาร่วมพิธีกลับไปรับประทาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว)
ประเพณีไหว้พระแข
แสงจันทร์ผ่อง วันเพ็ญ เดือนสิบสอง
วัดสามทอง จัดพิธี ไหว้พระแข
ประเพณีเก่า เฝ้ารักษา ช่วยดูแล
เป็นของแท้ สืบทอด ตลอดมา
จุดประสงค์ เพื่อทำนาย ฝนฟ้าน้ำ
จะดื่มด่ำ หรือแห้งแล้ง กันแค่ไหน
สังเกตได้ จากต้นเทียน เรียงกันไป
ว่าต้นไหน ลุกดี มีมงคล
น้ำตาเทียน ไหลดี แสนชื่นจิต
เป็นนิมิต น้ำดี เพราะมีฝน
ถ้าไหลน้อย น้ำน้อย มักอับจน
ขาดน้ำฝน ทำนา ไม่สมใจ
ต้น กลาง ปลาย ฤดู ดูเป็นช่วง
น้ำเทียนร่วง พร่างพรู อยู่ช่วงไหน
ฝนจะดี ตกชุก เป็นช่วงไป
เสี่ยงทำนาย ฝนมา ทำนากัน
ถ้าต้นไหน ลุกดี เปลวโชติช่วง
น้ำเทียนร่วง เป็นสาย ไม่แปรผัน
ทำนายว่า น้ำมาก อาจท่วมพลัน
เสียงครืนครัน ฟ้าผ่า แสนน่ากลัว
โดย ตรีสุวรรณ