ปฎิทินวัฒนธรรม
ประเพณีสู่ขวัญข้าว
o๑
ม.ค. ๖๖
๓๑
ม.ค. ๖๖
o๑
ม.ค. ๖๖
๓๑
ม.ค. ๖๖
o๑
ม.ค. ๖๖
๓๑
ม.ค. ๖๖
o๑
ม.ค. ๖๖
๓๑
ม.ค. ๖๖
ประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวมีหลากหลาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีเกือบทุกขั้นตอนของการทำนาตั้งแต่ก่อนการเพาะปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ด้วยความเชื่อเรื่องการให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ประเพณีทำขวัญข้าวหรืออาจจะเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น สู่ขวัญข้าว สู่ขวัญแม่โพสพ เป็นประเพณีที่ทำกันในเกือบทุกภาคของประเทศ อาจมีพิธีกรรมทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันไปตามพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เป็นแสดงถึงการผสมผสานของความเชื่อเรื่องผีและขวัญ
คนไทยมีความเชื่อเรื่องขวัญ เชื่อว่าทั้งคน สัตว์ และสิ่งต่างๆ มี “ขวัญ” ประจำอยู่ ขวัญจะหนีไปเมื่อมีเหตุให้ตกใจ และยังเชื่อว่าต้นข้าวและควายก็มีขวัญ โดยทั่วไปนิยมทำขวัญข้าวเมื่อข้าวตั้งท้องและเมื่อขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านในชีวิตของข้าว จึงจัดพิธีทำขวัญข้าวขึ้น อย่างไรก็ดีการทำขวัญข้าวตอนขนข้าวขึ้นยุ้งในปัจจุบันหลายแห่งเลิกทำไปเพราะมีการซื้อขายข้าวตั้งแต่อยู่ในลาน
ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับแม่โพสพเชื่อกันว่ามีเทพธิดาเป็นผู้รักษาข้าวที่เรียกว่า “แม่โพสพ” ชาวนาจะทำพิธีบวงสรวงเพื่อแสดงความเคารพ ระลึกถึงบุญคุณของแม่โพสพตลอดช่วงเวลาเพาะปลูก เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชที่ปลูกตามฤดูกาล เชื่อกันอีกว่าเทวดาประจำพืชดังกล่าวมักเป็นเทวดาผู้หญิงเพราะข้าวเป็นอาหารหลัก ใช้เลี้ยงชีพให้เจริญมีสุขภาพดี เปรียบเสมือนมารดาเลี้ยงลูกให้เติบโต โดยรูปเคารพแม่โพสพจะทำเป็นหญิงสาวไว้ผมประบ่า มีครอบหน้าและจอนหูห่มผ้าสไบเฉียงจากขวาไปซ้าย อยู่ในท่านั่งพับเพียบ
ในเขตชุมชนคลองบางซื่อ ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม พื้นที่ๆ ผู้เขียนไปเก็บข้อมูล พบว่ายังมีการทำขวัญข้าวกันอยู่ แต่เป็นการทำขวัญข้าวหลังเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะร่วมกันเป็นเจ้าภาพและมีลักษณะเป็นทางการ มีการจัดงานพิธีนิมนต์พระสงฆ์ พิมพ์การ์ดเชิญแขก หรือบางครั้งมีมหรสพด้วย โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากการสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ของชุมชน ทราบว่าแต่ดั้งเดิมการทำขวัญข้าวในแถบนี้จะนิยมทำตอนข้าวตั้งท้อง และทำกันเฉพาะในครอบครัว ส่วนการทำขวัญข้าวแบบรวมหมู่ของชุมชนคลองบางซื่อเพิ่งทำกันช่วงหลังไม่เกินสามสิบปีมานี้
ผู้ทำขวัญข้าวมักเป็นผู้หญิง โดยจะจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้เพื่อนำไปบวงสรวงในหัวคันนา เลือกทำกันในวันข้างขึ้นเดือนสิบ นำสายสิญจน์มามัดข้าวสามกอ ปักธงสามสี(หรือบางคนใช้สีขาวสีเดียว) อ้อยปักตรงกลาง นำผ้าม่วงมานุ่งและนำผ้าไหมห่มทับต้นข้าวอีกชั้นหนึ่ง ใส่แหวน สร้อย คล้องไว้ด้านบน ค่อยๆ นำน้ำมันลูบที่ใบข้าวสามกอทีละรวง นำน้ำหอม แป้ง ปะพรมต้นข้าว พร้อมเครื่องสังเวยอื่นๆ ได้แก่ กระจก หวี แป้ง น้ำมันใส่ผม หมาก พลู มันเทศ เผือก ผลไม้รสเปรี้ยวจำพวกส้ม พุทธา นัยว่าข้าวตั้งท้องเช่นเดียวกับคนคืออยากกินของเปรี้ยว อ้อยควั่นใส่กะทง มะพร้าวอ่อน ขนมจันอับ รวมถึงข้าวปากหม้อ ไข่ 1 ลูก บายศรีที่ภายในใส่ขนมต้มแดงขาว ดอกไม้ ธูปเทียน เมื่อแต่งตัวแม่โพสพเสร็จจึงกล่าวรับขวัญ เมื่อรับขวัญแม่โพสพเสร็จมักจะเก็บข้าวของมีค่ากลับไป ส่วนขนมผลไม้กลายเป็นอาหารของเด็กๆ ในละแวก
ในอดีตชุมชนแถบนี้จะทำขวัญข้าวกันทุกบ้าน เป็นการทำขวัญข้าวตอนข้าวตั้งท้อง ต่างคนต่างทำในนาของตนเอง ปัจจุบันเนื่องการพื้นที่ทำนาภายในชุมชนค่อยๆ ลดลง กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานอุตสาหกรรมไปเกือบหมด ชาวนาหลายครอบครัวขายที่ดิน คนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากจะทำนาเหมือนกับคนรุ่นพ่อแม่หรือรุ่นปู่ย่า แม้ประเพณีการทำขวัญข้าวของแต่ละครัวเรือนก็ค่อยๆ หายไป แต่การทำขวัญข้าวหลังเก็บเกี่ยวของชุมชนคลองบางซื่อยังทำกันอยู่อย่างต่อเนื่อง
ประเพณีทำขวัญข้าวหลังเก็บเกี่ยวของชุมชนคลองบางซื่อ วัดท่าพูด อ.สามพราน จ.นครปฐม ยังคงจัดอย่างต่อเนื่องมากว่าสามสิบกว่าปีแล้ว ชาวบ้านจะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดอาหารคาวหวานถวายพระสงฆ์ในบริเวณปะรำพิธี ซึ่งคือพื้นที่ริมคลองบางซื่อของนายแฉล้ม กันทวี การทำขวัญของชุมชนคลองบางซื่อเป็นการทำขวัญข้าวแบบรวมหมู่ไม่ใช่ทำกันเฉพาะครัวเรือน โดยจัดพิธีกรรมสองวัน กำหนดจัดงานในวันศุกร์แรกของเดือนยี่โดยอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าพูด เริ่มวันแรกด้วยที่ชาวบ้านเตรียมเครื่องคาวหวานถวายพระสงฆ์ที่จะเดินทางมาทำพิธีสวดมนต์เย็น และชาวบ้านจะนำภาชานะใส่ข้าวเปลือก มีต้นข้าวดอกไม้ปักไว้ด้านบน มาวางรวมกันในบริเวณปะรำพิธี ซึ่งประกอบไปด้วยไปด้วยถาดเครื่องเซ่นคาวหวาน ได้แก่ ขนมจันอับ ถั่วตัด ขนมต้มขาว กล้วย ฝรั่ง ส้ม อ้อยควั่น มะม่วง เผือก และบายศรีปากชาม หลังจากนั้นหมอทำขวัญจะทำพิธีเรียกขวัญข้าว และพิธีเวียนเทียน จบพิธีการประมาณสามทุ่ม และเช้ารุ่งขึ้นนิมนต์พระมาสวดมนต์เช้าเป็นอันจบพิธี
องค์ประกอบของการจัดงานเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น คนทำขวัญในชุมชนเองอายุมากกันแล้ว บางท่านเสียชีวิตไปแล้ว จำเป็นต้องจ้างหมอทำขวัญจากชุมชนคลองจินดา ซึ่งเป็นหมอทำขวัญนาค คำร้องในการเรียกขวัญก็จะแตกต่างออกไป โดยหมอทำขวัญที่ได้รับการจ้างมาจะใช้อ่านจากตำราที่พิมพ์กันโดยทั่วไป ปัจจุบันการจัดงานเริ่มเป็นทางการมากขึ้น เนื่องจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนสนับสนุนประเพณีทำขวัญ ในแต่ละปีจะจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการจัดงานเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องเสียง ค่าโสหุ้ยต่างๆ และในปี พ.ศ. 2555 ยังให้งบประมาณจากโครงการ SML สร้างเป็นโรงเรือนถาวรเพื่อเก็บอุปกรณ์การเกษตรชุมชน และยังใช้ทำพิธีขวัญข้าวปีละครั้ง รวมถึงที่ประชุมคณะกรรมการชุมชนในวาระต่างๆ ซึ่งแต่ดั้งเดิมบริเวณปะรำพิธีเป็นการสร้างปะรำชั่วคราวตกแต่งด้วยทางมะพร้าวและวัสดุในท้องถิ่น
Add to Calendar
เดินทาง 

