


ปฎิทินวัฒนธรรม
ประเพณีฟาดข้าวบ้านเวียคะดี้
จำนวนผู้ชม 221 ครั้ง

o๑
พ.ย. ๖๖
๓o
พ.ย. ๖๖

o๑
พ.ย. ๖๖
๓o
พ.ย. ๖๖

o๑
พ.ย. ๖๖
๓o
พ.ย. ๖๖

o๑
พ.ย. ๖๖
๓o
พ.ย. ๖๖

o๑
พ.ย. ๖๖
๓o
พ.ย. ๖๖





ช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยวของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงบ้านเวียคะดี้
ในตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำนาทำไร่มานานนับร้อยปี โดยอาศัยน้ำจากน้ำฝนในช่วงฤดูฝนเป็นหลัก พอหมดฝนก็เตรียมเก็บเกี่ยวผลผลิตจากท้องไร่ท้องนา พอเกี่ยวข้าวเสร็จจะมีการจับข้าวที่เกี่ยวมัดกับตอกเป็นกำ ๆ แล้ววางตากไว้ในนาข้าวที่เกี่ยวข้าวไปแล้ว และค่อยรวบรวมเก็บมากองเป็นจุดเดียวกัน
ปล่อยตากแดด 1 - 2วัน แล้วค่อยทำการฟาดข้าวในช่วงเวลากลางคืนเพื่อจะได้ไม่ร้อน ชาวกะเหรี่ยงจะทำแคร่
ยกพื้นขึ้นมาด้วยไม้ไผ่เพื่อง่ายต่อการยืนฟาดข้าวได้ โดยจะรองพื้นด้วยผ้าหรือมุ้งไนล่อนสีฟ้าเพื่อเก็บเม็ดข้าวเปลือก
ที่ถูกฟาดบนแคร่ แล้วจะทำการเก็บเศษฟางที่มาจากการฟาดในแต่ละครั้ง เมื่อฟาดข้าวจนหมดแล้ว จึงเก็บข้าวใส่ถุงปุ๋ยกลับไปเก็บในยุ้งฉางที่บ้าน เมื่อต้องการกินก็นำไปตากแดดก่อนแล้วนำไปตำหรือไปสี ส่วนหนึ่งจะนำไปทำบุญ
ข้าวใหม่ให้กับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน รวมทั้งการหุงข้าวใหม่เพื่อใส่บาตรพระสงฆ์
โดยการจัดประเพณีฟาดข้าวจะเริ่มงานในเวลาตอนเย็น จะมีการยกเสาไม้ไผ่ที่ห้อยพันธุ์เมล็ดข้าวที่ไว้สำหรับเป็นพันธุ์ที่จะทำการเพาะปลูกในปีถัดไปห้อยลงตรงกับแคร่ในลานฟาดข้าว จากนั้นจะมีพิธีสงฆ์
มีการอาราธนาศีล อาราธนาธรรม และการเจริญพระพุทธมนต์เย็นจากคณะสงฆ์ หลังจากนั้น เจ้าของไร่จุดเทียน
ไหว้พระแม่โพสพที่ต้นเสาไม้ไผ่ที่ห้อยเมล็ดพันธุ์ข้าว และจุดเทียน 3 เล่มบนแคร่ ก่อนจะทำการฟาดข้าวลงไป
พร้อมทั้งกล่าวคำอธิษฐาน จนครบ 3 รอบ จากนั้นก็เริ่มมีการเชิญชวนให้ผู้มาร่วมงานได้มาฟาดข้าว โดยจะมีการแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ตัวแทนฝ่ายชายและตัวแทนฝ่ายหญิง โดยมีครูเพลงทั้ง 2 ฝ่าย เป็นต้นเสียงให้กับผู้มาร่วมฟาดข้าว
ในลานฟาดข้าว โดยจะเริ่มที่ฝ่ายหญิงก่อนเป็นฝั่งเปิดงานการฟาดข้าว เมื่อต้นเสียงเพลงมา คนที่ร้องตามก็จะถือรวงข้าวกันคนละมัด 2 มัด เดินร้องเพลงตามต้นเสียงครูเพลง แล้วเข้าไปล้อมที่แคร่ฟาดข้าว ร้องเพลงด้วย ฟาดข้าวด้วย และหมุนวนไปจนรอบแคร่ จากนั้นครูเพลงฝ่ายชายก็จะขึ้นเพลงแก้ให้ลูกทีม ร้องเป็นต้นเสียงพร้อมกับถือรวงข้าวมาที่แคร่พร้อมฟาดข้าวลงไป และหมุนตามแคร่ จนเม็ดข้าวร่วงหมด สลับเวียนกันไปเรื่อยๆ ระหว่างฝั่งชายกับหญิง
จนหมด ก็ถือว่าเสร็จพิธีเก็บกวาดเศษฟางให้สะอาดขึ้น แล้วหาผ้าใบมาปิดไว้ ก่อนที่เปิดลานการละเล่นสำหรับทำกิจกรรม
ประเพณีฟาดข้าว เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณของชาวกะเหรี่ยง ในอำเภอสังขละบุรี ปัจจุบันวิถีชีวิตคนในชุมชนได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและยุคสมัย แต่คนในชุมชนบ้านเวียคะดี้ยังคงอนุรักษ์
สืบสานประเพณีฟาดข้าวให้คงอยู่คู่กับชุมชนและสืบทอดต่อคนรุ่นหลัง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัย
ชาวกะเหรี่ยงบ้านเวียคะดี้ จะมีการจัดงานประเพณีฟาดข้าวในหมู่บ้าน โดยคณะกรรมการหมู่บ้านจะคัดเลือกไร่นา
ที่เหมาะสมจัดกิจกรรมหมุนเวียนกันไปในหมู่บ้าน มีการจัดโรงทานเป็นอาหารพื้นถิ่นของชาวกะเหรี่ยงไว้ให้กับ
ผู้มาร่วมงานได้รับประทาน สำหรับการจัดงานประเพณีฟาดข้าวทุก ๆ ปี เป็นการสืบสานประเพณีการใช้ชีวิตที่
อิงอาศัยกับป่า สำนึกในคุณของธรรมชาติ สำนึกในพระคุณของแม่โพสพที่ช่วยดูแลต้นข้าวให้ชาวกะเหรี่ยง และถือเป็นการเอาแรงช่วยกัน อีกทั้งมีการละเล่นที่เพิ่มเติมเข้ามาสร้างสีสันให้งานอีกด้วย เช่น การปีนเสาน้ำมัน มวยปล้ำบันไดลิง
งานประเพณีฟาดข้าวบ้านเวียคะดี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ในแต่ละปีจะจัดสลับสับเปลี่ยนสถานที่จัดงานหมุนเวียนไปในที่ไร่นาของชาวบ้านในหมู่บ้านเวียคะดี้ แต่ยังคงอนุรักษ์การทำพิธีกรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้
แหล่งอ้างอิง:
ในตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำนาทำไร่มานานนับร้อยปี โดยอาศัยน้ำจากน้ำฝนในช่วงฤดูฝนเป็นหลัก พอหมดฝนก็เตรียมเก็บเกี่ยวผลผลิตจากท้องไร่ท้องนา พอเกี่ยวข้าวเสร็จจะมีการจับข้าวที่เกี่ยวมัดกับตอกเป็นกำ ๆ แล้ววางตากไว้ในนาข้าวที่เกี่ยวข้าวไปแล้ว และค่อยรวบรวมเก็บมากองเป็นจุดเดียวกัน
ปล่อยตากแดด 1 - 2วัน แล้วค่อยทำการฟาดข้าวในช่วงเวลากลางคืนเพื่อจะได้ไม่ร้อน ชาวกะเหรี่ยงจะทำแคร่
ยกพื้นขึ้นมาด้วยไม้ไผ่เพื่อง่ายต่อการยืนฟาดข้าวได้ โดยจะรองพื้นด้วยผ้าหรือมุ้งไนล่อนสีฟ้าเพื่อเก็บเม็ดข้าวเปลือก
ที่ถูกฟาดบนแคร่ แล้วจะทำการเก็บเศษฟางที่มาจากการฟาดในแต่ละครั้ง เมื่อฟาดข้าวจนหมดแล้ว จึงเก็บข้าวใส่ถุงปุ๋ยกลับไปเก็บในยุ้งฉางที่บ้าน เมื่อต้องการกินก็นำไปตากแดดก่อนแล้วนำไปตำหรือไปสี ส่วนหนึ่งจะนำไปทำบุญ
ข้าวใหม่ให้กับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน รวมทั้งการหุงข้าวใหม่เพื่อใส่บาตรพระสงฆ์
โดยการจัดประเพณีฟาดข้าวจะเริ่มงานในเวลาตอนเย็น จะมีการยกเสาไม้ไผ่ที่ห้อยพันธุ์เมล็ดข้าวที่ไว้สำหรับเป็นพันธุ์ที่จะทำการเพาะปลูกในปีถัดไปห้อยลงตรงกับแคร่ในลานฟาดข้าว จากนั้นจะมีพิธีสงฆ์
มีการอาราธนาศีล อาราธนาธรรม และการเจริญพระพุทธมนต์เย็นจากคณะสงฆ์ หลังจากนั้น เจ้าของไร่จุดเทียน
ไหว้พระแม่โพสพที่ต้นเสาไม้ไผ่ที่ห้อยเมล็ดพันธุ์ข้าว และจุดเทียน 3 เล่มบนแคร่ ก่อนจะทำการฟาดข้าวลงไป
พร้อมทั้งกล่าวคำอธิษฐาน จนครบ 3 รอบ จากนั้นก็เริ่มมีการเชิญชวนให้ผู้มาร่วมงานได้มาฟาดข้าว โดยจะมีการแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ตัวแทนฝ่ายชายและตัวแทนฝ่ายหญิง โดยมีครูเพลงทั้ง 2 ฝ่าย เป็นต้นเสียงให้กับผู้มาร่วมฟาดข้าว
ในลานฟาดข้าว โดยจะเริ่มที่ฝ่ายหญิงก่อนเป็นฝั่งเปิดงานการฟาดข้าว เมื่อต้นเสียงเพลงมา คนที่ร้องตามก็จะถือรวงข้าวกันคนละมัด 2 มัด เดินร้องเพลงตามต้นเสียงครูเพลง แล้วเข้าไปล้อมที่แคร่ฟาดข้าว ร้องเพลงด้วย ฟาดข้าวด้วย และหมุนวนไปจนรอบแคร่ จากนั้นครูเพลงฝ่ายชายก็จะขึ้นเพลงแก้ให้ลูกทีม ร้องเป็นต้นเสียงพร้อมกับถือรวงข้าวมาที่แคร่พร้อมฟาดข้าวลงไป และหมุนตามแคร่ จนเม็ดข้าวร่วงหมด สลับเวียนกันไปเรื่อยๆ ระหว่างฝั่งชายกับหญิง
จนหมด ก็ถือว่าเสร็จพิธีเก็บกวาดเศษฟางให้สะอาดขึ้น แล้วหาผ้าใบมาปิดไว้ ก่อนที่เปิดลานการละเล่นสำหรับทำกิจกรรม
ประเพณีฟาดข้าว เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณของชาวกะเหรี่ยง ในอำเภอสังขละบุรี ปัจจุบันวิถีชีวิตคนในชุมชนได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและยุคสมัย แต่คนในชุมชนบ้านเวียคะดี้ยังคงอนุรักษ์
สืบสานประเพณีฟาดข้าวให้คงอยู่คู่กับชุมชนและสืบทอดต่อคนรุ่นหลัง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัย
ชาวกะเหรี่ยงบ้านเวียคะดี้ จะมีการจัดงานประเพณีฟาดข้าวในหมู่บ้าน โดยคณะกรรมการหมู่บ้านจะคัดเลือกไร่นา
ที่เหมาะสมจัดกิจกรรมหมุนเวียนกันไปในหมู่บ้าน มีการจัดโรงทานเป็นอาหารพื้นถิ่นของชาวกะเหรี่ยงไว้ให้กับ
ผู้มาร่วมงานได้รับประทาน สำหรับการจัดงานประเพณีฟาดข้าวทุก ๆ ปี เป็นการสืบสานประเพณีการใช้ชีวิตที่
อิงอาศัยกับป่า สำนึกในคุณของธรรมชาติ สำนึกในพระคุณของแม่โพสพที่ช่วยดูแลต้นข้าวให้ชาวกะเหรี่ยง และถือเป็นการเอาแรงช่วยกัน อีกทั้งมีการละเล่นที่เพิ่มเติมเข้ามาสร้างสีสันให้งานอีกด้วย เช่น การปีนเสาน้ำมัน มวยปล้ำบันไดลิง
งานประเพณีฟาดข้าวบ้านเวียคะดี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ในแต่ละปีจะจัดสลับสับเปลี่ยนสถานที่จัดงานหมุนเวียนไปในที่ไร่นาของชาวบ้านในหมู่บ้านเวียคะดี้ แต่ยังคงอนุรักษ์การทำพิธีกรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้
