


ปฎิทินวัฒนธรรม
พิธีสืบชะตา
จำนวนผู้ชม 190 ครั้ง

๑๖
มิ.ย. ๖๕
๑๖
มิ.ย. ๖๕

๑๖
มิ.ย. ๖๕
๑๖
มิ.ย. ๖๕

๑๖
มิ.ย. ๖๕
๑๖
มิ.ย. ๖๕

๑๖
มิ.ย. ๖๕
๑๖
มิ.ย. ๖๕

๑๖
มิ.ย. ๖๕
๑๖
มิ.ย. ๖๕





พิธีทำบุญเมืองเชียงใหม่ ประจำปี 2565 ณ หน่วยพิธีประตูสวนดอก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทันตแพทย์พิริยะ เชิดสถิรกุล เป็นประธานในพิธีทำบุญเมืองเชียงใหม่ ประจำปี 2565 ณ หน่วยพิธีประตูสวนดอก ซึ่งจัดพิธีขึ้นพร้อมกันกับจุดอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ รอบเขตกำแพงเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ประตูเมือง 5 ประตู ได้แก่ ประตูท่าแพ ประตูเชียงใหม่ ประตูแสนปรุง ประตูสวนดอก ประตูช้างเผือก และแจ่งเมืองทั้ง 4 แจ่ง คือ แจ่งกู่เฮือง แจ่งหัวลิน แจ่งศรีภูมิ และแจ่งกะต๊ำ โดยมีพระสงฆ์ร่วมประกอบพิธีรวมทั้งหมด 108 รูป เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวล้านนาที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต และในโอกาสครบรอบ 726 ปีแห่งการก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ โดยมีคณะสงฆ์ คณะผู้บริหาร คณาจารย์ คณะครู เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษาและประชาชน ร่วมพิธี ซึ่งหน่วยพิธีประตูสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานต่างๆ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2565
นับตั้งแต่มีการสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1839 เป็นต้นมา เจ้าผู้ครองนครและไพร่ฟ้าประชาชนจะร่วมกันทำพิธีสืบชะตาเมืองอันเป็นพระราชพิธีต่ออายุเมืองให้ยืนยงคงอยู่และสร้างความสุขสมบูรณ์แก่อาณาประชาราษฏร์ โดยก่อนหน้าที่จะทำพิธีสืบชะตาเมืองจะทำพิธี บูชาไหว้เสาอินทขีล หรือ ประเพณีใส่ขันดอกอินทขีล อันเป็นเสาหลักของเมืองเสียก่อน ซึ่งจะกระทำในราวปลายเดือน 8 เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ไปเสร็จสิ้นเดือน 9 เหนือ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประเพณี 8 เข้า 9 ออก” หลังจากนั้นแล้วก็จะทำพิธีสืบชะตาเมือง ทุกปีหลังจากที่เมืองเชียงใหม่ได้ทำพิธีบูชาเสาอินทขีล หรือ ประเพณีใส่ขันดอกเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการทำพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวเมืองและยังถือว่าพิธีสืบชะตาเมืองเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ชาวเชียงใหม่กระทำสืบทอดกันมาช้านาน
ความเชื่อแต่โบราณว่าการเกิดเมืองหรือการสร้างเมืองนั้นจะสร้างตามฤกษ์ยามและกำหนดสถานที่มหามงคลต่างๆ ไว้ ซึ่งในอดีตนั้นได้กำหนดสถานที่มงคลไว้คือ ประตูเมือง, แจ่งเมือง และบริเวณกลางเมืองหรือสะดือเมือง ให้มีความสอดคล้องกับชัยภูมิ การวางผังเมืองและความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ โดยได้ยึดถือ คัมภีร์มหาทักษา ซึ่งจะประกอบตามทิศของแผนภูมินครอันประกอบด้วยบริวารเมือง อายุเมือง เดชเมือง ศรีเมือง มูลเมือง อุตสาหเมือง มนตรีเมืองและกาลกิณีเมือง
นับตั้งแต่มีการสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1839 เป็นต้นมา เจ้าผู้ครองนครและไพร่ฟ้าประชาชนจะร่วมกันทำพิธีสืบชะตาเมืองอันเป็นพระราชพิธีต่ออายุเมืองให้ยืนยงคงอยู่และสร้างความสุขสมบูรณ์แก่อาณาประชาราษฏร์ โดยก่อนหน้าที่จะทำพิธีสืบชะตาเมืองจะทำพิธี บูชาไหว้เสาอินทขีล หรือ ประเพณีใส่ขันดอกอินทขีล อันเป็นเสาหลักของเมืองเสียก่อน ซึ่งจะกระทำในราวปลายเดือน 8 เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ไปเสร็จสิ้นเดือน 9 เหนือ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประเพณี 8 เข้า 9 ออก” หลังจากนั้นแล้วก็จะทำพิธีสืบชะตาเมือง
ศาสตราจารย์มณี พยอมยงค์ ได้กล่าวไว้ว่า มีคัมภีร์สืบชะตาเมืองเชียงใหม่หลายฉบับ โดยเฉพาะได้กล่าวถึงพิธีสืบชะตาเมืองในสมัยพระเมืองแก้ว แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.2038 – 2068) ไว้อย่างละเอียดว่า “พระมหากษัตริย์แห่งนครเชียงใหม่จะทรงเป็นประธานในพิธีสืบชะตาเมืองเพื่อให้เกิดความสุขสวัสดีแก่บ้านเมืองและประชาชน” การสืบชะตาเมืองตามความเชื่อของชาวล้านนาเป็นพิธีที่จัดทำขึ้นเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ทั้งนี้เพราะบางครั้งเห็นว่าบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์มาเบียดบัง ทำให้เมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเพราะการจลาจล การศึกและเกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่ประชาชนในเมือง ดังนั้นจึงต้องทำพิธีสืบชะตาเมืองขึ้น
ในคัมภีร์สืบชะตาเมืองเชียงใหม่นั้นยังระบุถึงการเตรียมพิธีสืบชะตาเมืองด้วย เช่นกล่าวถึงการนิมนต์พระสงฆ์จำนวนเท่าอายุของเมืองมาสวดมนต์ การนิมนต์พระพุทธรูปแก้วเสตังคมณี จากวัดเชียงมั่นเข้าร่วมพิธี ฯลฯ นอกจากนี้ในคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงการบูชาคัมภีร์ธัมม์สารากริกวิชชานสูตร จากวัดเชียงมั่น 3 ผูก บูชาคัมภีร์ธัมม์มงคลตันติง จากวัดดวงดี 3 ผูก บูชาคัมภีร์ธัมม์นครฐาน จากวัดโชติการาม 1 ผูก บูชาคัมภีร์ธัมม์ปารมี จากวัดสิงหาราม 1 ผูกและบูชาคัมภีร์ธัมม์อุณหัสวิชัย จากวัดชัยชนะสถานอีก 1 ผูก
ในการสืบชะตาเมืองนั้นอาจารย์ผู้ประกอบพิธีซึ่งเป็นผู้นำจะได้เอาสายสิญน์พันรอบกำแพงเมืองแล้วโยงจากประตูช้างเผือก ประตูสวนดอก ประตูเชียงใหม่ ประตูสวนปรุงและประตูท่าแพเข้าสู่กลางเวียงและนำส่วนปลายสายสิญน์สอดไว้ใต้อาสนะของพระพุทธรูปและพระสงฆ์ จากนั้นจะต่อสายสิญน์พาดโยงเข้าไปสู่บ้านทุกหลังคา
ในอดีตการจัดให้มีพิธีสืบชะตาเมืองเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ เพราะเกี่ยวเนื่องกับบ้านเมืองมิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคล ดังนั้นบริเวณรอบๆ เมืองจึงถูกกำหนดจุดมงคลต่างๆ ไว้มากมาย เช่น ที่บริเวณวังหลัง วังหน้าและวังหลวงรวม 3 แห่ง จะนิมนต์พระสงฆ์ไปโปรดเมตตาทำพิธีทางศาสนารวม 19 รูป ที่บริเวณกลางเวียงจะนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 19 รูป ประตูเวียงทั้ง 5 ประตูและแจ่งเมืองอีก 4 แจ่งนั้นจะนิมนต์พระสงฆ์ทำพิธีปริตตะมงคลสวดมนต์ (เจริญพระพุทธมนต์) โดยพระสงฆ์จะเดินรอบเวียงตั้งแต่ประตูสวนดอกไปจนถึงแจ่งหัวลิน พระสงฆ์ที่แจ่งหัวรินจะรับช่วงสวดต่อไปถึงประตูช้างเผือกและพระสงฆ์ที่ประตูช้างเผือกก็จะรับช่วงสวดต่อไปตามจุดพิธีกรรมต่างๆ โดยลำดับถึง 9 แห่งปัจจุบันพิธีสืบชะตาโบราณแบบนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เนื่องจากเพราะพิธีกรรมต่างๆ ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา พิธีสืบชะตาเมืองเชียงใหม่จึงได้ทำเป็นจุดบริเวณที่มีความสำคัญเท่านั้น เช่น แจ่งเมืองทั้ง 4 แจ่งที่ประตูเมืองทั้ง 5 ประตูและบริเวณจุดกลางเมืองหรือที่สะดือเมืองตรงอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์เท่านั้น
การทำพิธีสืบชะตาเมืองเชียงใหม่นั้นจะเห็นได้ถึงความศรัทธาและความสามัคคีของชาวบ้านในการออกมาร่วมทำบุญ ซึ่งนอกเหนือจากความสามัคคีแล้ว สิ่งหนึ่งที่แฝงมาด้วยก็คือ ความเชื่อในเรื่องพิธีกรรมที่สามารถบันดาลให้เกิดความสุขทางใจขึ้น โดยความเชื่อเหล่านี้จะเกี่ยวเนื่องกับหลักธรรมทางศาสนา เป็นประหนึ่งแสงสว่างที่ส่องให้พุทธศาสนิกชนก้าวตามรอยที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้แนะเอาไว้เมื่อกว่า 2,500 กว่าปีที่แล้ว
